Hap V Plus คืออะไร? มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?

 Hap V Plus (แฮป วี พลัส)
คือ อาหารเสริมในหลักการ “พันธุกรรมบำบัด” (Antisense Therapy) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งในการรักษาทางเลือกด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดที่ปลอดภัย ปราศจากอันตรายและผลข้างเคียงอื่นๆ

   หลักการนี้มีการวิจัยและพัฒนาในการแพทย์สากลมากว่าสิบปีแล้ว แต่ยังไม่แพร่หลายเพราะเป็นวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อนและเข้าใจยาก https://www.genome.gov/genetics-glossary/antisense

Hap V Plus 
จัดการกับเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโดย
 1. ปิดสวิทช์ยีนของไวรัส เป็นผลให้ไวรัสอ่อนแรงลง 
 2. เมื่อไวรัสอ่อนแรงลง มันจะไม่สามารถสร้างตัวมันเองขึ้นในเซลล์ที่ติดเชื้อได้ (เชื้อโรคไม่ขยายตัวเพิ่ม)
 3. ในขณะเดียวกันอาหารเสริมนี้จะช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานเพื่อมากำจัดไวรัสที่กำลังอ่อนแรงอยู่นั้นได้ง่ายขึ้นจนหมดไปในที่สุด

Hap V Plus ถือเป็นการจัดการกับไวรัสที่ตรงเป้าและมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาชนิดอื่นหากพิจารณาตามนี้..
ไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีองค์ประกอบสำคัญแค่ 3 ส่วน คือ
1. เปลือก 
2.เอนไซม์ 
3.สาร พั น ธุ ก ร ร ม ซึ่งถือเป็นหัวใจของไวรัส

 1. เปลือก
ในการทำวัคซีนนั้นโดยทั่วไปจะมุ่งไปจัดการที่ “เปลือก” ของไวรัส  ‼️‼️ปัญหาจึงเกิดขึ้นเมื่อไวรัส”เปลี่ยนเปลือก” หรือเปลี่ยนสายพันธุ์ใหม่ ตัวอย่างเช่น ในไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) ที่มีหลากหลายสายพันธุ์ (อาทิ H5N1 H1N1 ) การทำวัคซีนจึงจำเป็นต้องทำชนิดใหม่ออกมาเรื่อย ๆเพราะไวรัสมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา
  ไวรัสโควิด เป็นไวรัสชนิด RNA (คล้าย HIV) ซึ่งมีอัตราการกลายพันธุ์ที่สูง ‼️การทำวัคซีนที่มุ่งจัดการเปลือกของไวรัสจึงอาจได้ผลดีในส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ใช่ผลดีที่สุด‼️

 2. เอนไซม์ 
ยาต้านไวรัสทั่วไปนั้น คือยาที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไวรัส โดยฤทธิ์ของยาจะทำให้ไวรัสไม่สามารถสร้างตัวมันขึ้นมาได้ วิธีนี้จึงทำให้ปริมาณไวรัสในกระแสเลือดลดลงมากจนถึงขั้นตรวจไม่พบได้ แต่เนื่องจากกลไกนี้ไม่ได้กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำหน้าที่กำจัดไวรัสที่ซ่อนอยู่ภายในเซลล์ เมื่อไหร่ที่หยุดยา ไวรัสที่ซ่อนอยู่ก็จะเริ่มสร้างตนเองขึ้นมาและทำให้ตรวจพบเชื้อในกระแสเลือดได้ใหม่อีกครั้ง (คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ที่ไม่สามารถหยุดยาต้านไวรัสได้ทั้งที่ตรวจไม่พบเชื้อในกระแสเลือดแล้ว เพราะเมื่อหยุดไวรัสจะกลับมาใหม่) ทำให้ต้องทานยาต้านไวรัส ที่มีผลข้างเคียงมากติดต่อกันระยะยาว

 3. สารพันธุกรรม (ยีน) 
​  Hap V Plus ถือเป็นการรักษาเดียวที่พุ่งเป้าไปที่หัวใจของไวรัสนั่นคือที่สารพันธุกรรม ด้วยกลไกการทำงานของ Antisense แนวทางนี้นอกจากจะยับยั้งไม่ให้ไวรัสสร้างตัวเองเพิ่มขึ้นได้แล้ว ยังไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาจัดการกับไวรัสที่อยู่ภายในเซลล์อีกด้วย จึงเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมมากที่สุด

การทำลายเชื้อโรคในแนวทางของAntisense Therapy 
  คือการเปิด-ปิดสวิทช์ยีนของเชื้อโรค 

เพราะ “สิ่งมีชีวิตทุกชนิด พืช สัตว์ รวมถึงเชื้อโรคต่างๆทั้งไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราล้วนแต่มีดีเอ็นเอ “ ดังนั้นถ้าเราพุ่งเป้าไปกำจัดดีเอ็นเอของเชื้อโรคให้ออกจากร่างกาย น่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการรักษาที่ต้นตอของการเจ็บป่วย

การกำจัดดีเอ็นเอเชื้อโรคโดยวิธีนี้ ต้องทำความเข้าใจในส่วนที่เกี่ยวพันอื่นๆด้วย ดังนี้

ดีเอ็นเอ (สารพันธุกรรม)คือ ข้อมูลสำคัญที่กำหนดลักษณะเฉพาะของแต่ละสิ่งมีชีวิต เช่น ตาสีฟ้า-ตาสีนำ้ตาล, ผมหยิก-ผมตรง , สูง-เตี้ย, ทุเรียนหมอนทอง - ชะนี , มะม่วงอกร่อง - มะม่วงแก้ว  กระทั่งไวรัสโคโรนาก็มีข้อมูลพันธุกรรมของมันที่ระบุความเป็นโคโรนา ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ “รหัสพันธุกรรม” 

รหัสพันธุกรรม บันทึกด้วยอักษร 4 ตัว คือ A T C G  สลับไปสลับมาคล้ายๆภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีรหัสอักษร 2 ตัวคือ 0 กับ 1 เช่น 0001011000011… ในภาษาคอมพิวเตอร์มีมนุษย์เป็นคนกำหนดว่ามีความหมายอย่างไร แต่ในภาษาพันธุกรรม ธรรมชาติเป็นผู้กำหนดว่ารหัส 4 ตัวที่สลับไปมายาวๆมีความหมายอะไร เป็นยีนอะไร คุมคุณสมบัติไหนของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ
… รหัสพันธุกรรมที่เป็น  ATCG …….นั้นจะมีบริเวณสำคัญที่เรียกว่า “ยีน” แต่ละยีนจะเป็นตัวกำหนดการทำงานของดีเอ็นเอ และบริเวณใกล้ๆกับยีนนี่เอง จะมีรหัสพันธุกรรมอีกส่วนที่ทำหน้าที่เปิดปิดสวิทช์ยีน

พูดง่ายๆคือ การปิดสวิทช์ยีนเชื้อโรคคือการทำให้ดีเอ็นเอเชื้อโรคอ่อนแอ

แล้วเราปิดสวิทช์ยีนเชื้อโรคได้อย่างไร?
คำตอบสำคัญของเรื่องนี้ทั้งหมดคือ
Antisense ซึ่งคือ การออกแบบรหัส DNA หรือ RNA ให้จับคู่ตรงข้ามกับรหัสของยีนเชื้อโรค (หรือยีนเป้าหมาย) 
A จับคู่กับ T , C จับคู่กับ G
ตัวอย่างเช่น
รหัส DNAเชื้อโรค = ATCGGACTTGA
รหัส Antisense จะ = TAGCCTGAACT
ถ้าออกแบบให้ตรงกันแบบนี้ เราจะสามารถปิดสวิทช์การทำงานของยีนที่เราเล็งเป้าไว้(เช่นเชื้อโรค) รวมถึงยีนไวรัส 

กระบวนการเปิดปิดสวิทช์ยีนนี้มีผู้นำมาพัฒนาจนเป็น antisense therapy เพื่อใช้ในการรักษาโรคหลายโรค อาทิ การติดเชื้อไวรัส cytomegalovirus (CMV) ซึ่งได้ผลการรักษาดีมาก อีกทั้งมีผลข้างเคียงที่ต่ำ มีความปลอดภัยสูง เพราะ antisense ที่ทำจะมีความจำเพาะเจาะจงกับดีเอ็นเอเป้าหมายมาก จึงไม่มีโอกาสผิดพลาดไปที่ยีนอื่นๆที่มีรหัสไม่ตรงกัน (รหัสพันธุกรรมที่ใช้ใน antisense มีมากกว่า 12 ตำแหน่ง แต่ละตำแหน่ง มีความน่าจะเป็นได้ 4 รูปแบบ a t g c ดังนั้นหากมีทั้งหมด 12 ตำแหน่งจะมีรูปแบบสารพันธุกรรมที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น 412 ซึ่งเท่ากับ 16,777,216 รูปแบบ จึงทำให้มีความจำเพาะที่สูงมาก) ‍

 Hap V Plus  มีส่วนประกอบอะไร 
และทำไมข้างกล่องหรือบนแผงจึงระบุแค่แมกนีเซียม?
.
กระบวนการผลิต Hap V Plus เป็น “เหมือนการทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม” เพราะเป็นการรักษาแบบ information platform (ทำของที่มองไม่เห็นให้มีตัวตน) โดยนำแนวทางของ antisense มาประยุกต์กับการหล่อระดับนาโนเพื่อให้ออกมาเป็นเม็ดยาในวิธีการของ molecular imprinting ด้วยการนำโมเลกุลของ antisense มาเป็นเบ้าหลอม และใช้อะตอมของแมกนีเซียมมาหล่อให้เป็นรูปทรงของ antisense (โมเลกุลของ สารพันธุกรรมมีขนาดประมาณ 2.2-2.6 nm ในขณะที่อะตอมของแมกนีเซียมมีขนาดประมาณ 0.173 nm) แล้วทำให้แมกนีเซียมตกผลึกอยู่ในรูปทรงดังกล่าว …
ด้วยกระบวนการนี้ทำให้เราสามารถผลิตผลึกของแมกนีเซียมที่มีรูปทรงเหมือนกับ antisense ต้นแบบที่มีความเสถียรสูง ไม่ถูกย่อยสลายด้วยน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหาร และถูกดูดซึมได้โดยง่าย 
.
เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วผลึกดังกล่าวก็จะทำหน้าที่เสมือน antisense ต้นแบบที่ไปปิดสวิทช์การทำงานยีนของไวรัส ทำให้ไวรัสอ่อนแรงไม่สามารถสร้างไวรัสใหม่ได้และยังไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเพื่อกวาดล้างไวรัสที่หลบซ่อนอยู่ภายในเซลล์ให้หมดไปในที่สุด

ข้อมูลทั้งหมดที่คุณอ่านมาคือวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ความซับซ้อนในหลักการและกระบวนการผลิตเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายลงบนกล่องให้เข้าใจได้ง่ายๆ 
สรุปคือ ตัวเม็ดแมกนีเซียมนี้มีกลไกการทำงานของระบบ Antisenseในการทำลายเชื้อโรคทั้งหลายอยู่ด้วย 
เรียบเรียง โดย รุ่งรัตน์  สุริยะ 
ตรวจทานโดย นพ.อรรถพล  สุคนธาภิรมย์


Visitors: 20,938